Leh-Ladakh
the real heaven on earth
"ไปมั้ย ตั๋วโปร - ไม่ไปตอนนี้ก็ไม่รู้จะไปตอนไหนแล้วนะ"
ที่ถามเพื่อนไปวันนั้น กับสถานที่ที่อยากไปมาตั้งแต่เกือบสามปีก่อน มีเพื่อนที่รวมตัวกันได้หลายชีวิต เปลี่ยนเพื่อนไปหลายกลุ่ม แต่สุดท้ายวันนี้ก็เหลืออยู่แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ สองคนที่คิดว่าน่าจะบ้าบิ่นมากพอกับการไปเสี่ยงตายที่นั่น
มันคือการเสี่ยงตายจริงๆ เพราะว่ามันจะตายจริงๆ นี่แหละ
และจริงๆ มันก็ไม่ใช่ตั๋วโปรโมชั่นอะไร มันแค่เป็นราคาที่เรารับได้ เพราะที่เคยเล็งไว้มันแพงกว่านี้มาก เคาะราคา จัดการชีวิต จัดการวันลา - ไปเหอะ ไม่ไปวันนี้ วันหน้าก็คงไม่ได้ไปแล้วจริงๆ ของบางอย่างรีบได้ก็ต้องรีบ
มันคือการเสี่ยงตายจริงๆ เพราะว่ามันจะตายจริงๆ นี่แหละ
และจริงๆ มันก็ไม่ใช่ตั๋วโปรโมชั่นอะไร มันแค่เป็นราคาที่เรารับได้ เพราะที่เคยเล็งไว้มันแพงกว่านี้มาก เคาะราคา จัดการชีวิต จัดการวันลา - ไปเหอะ ไม่ไปวันนี้ วันหน้าก็คงไม่ได้ไปแล้วจริงๆ ของบางอย่างรีบได้ก็ต้องรีบ
19.10.18
Bangkok to NewDilhi
สายการบินที่สะดวกที่สุด ก็คิดว่าเป็น JetAirways แล้วแหละ เลือก BKK-DEL-IXL ไปเลย เวลามีปัญหาอะไร อย่างน้อยมันก็คือสายการบินเดียวกัน และไฟล์ทที่ดีที่สุดก็น่าจะเป็นช่วง 20.10 น. เหมาะกับคนที่ไม่อยากจะลางานมากมายนัก ไปถึงนิวเดลีก็ห้าทุ่มกว่า รอต่อเครื่องตอนเช้าสวยๆ
แต่โปรดระวัง และเช็คกับการสายการบินอยู่เสมอเพราะมัน re-time บ่อยเหลือเกิน โดยเฉพาะ DEL-IXL และ IXL-DEL น่าจะเพราะสภาพอากาศ
อีกอย่างหนึ่ง - ไฟล์ท BKK-DEL-IXL
เมื่อไปถึงนิวเดลีแล้ว ให้รับกระเป๋าเดินทางปกติ มันไม่มี Check-through (ก่อนเช็คอินที่สุวรรณภูมิ หรือก่อนขึ้นเครื่อง ถามเจ้าหน้าที่อีกทีก็ได้ อนาคตอาจเปลี่ยนแปลง)
แต่ ไฟล์ท IXL-DEL-BKK มันดัน Check-through ไปกรุงเทพเลยซะงั้น ไม่ค่อยเข้าใจ เพราะยืนรอกระเป๋านานมากจนเจ้าหน้าที่สายการบินเดินมาบอกว่ากระเป๋าไปแล้วค่ะ ไม่ต้องรอจ้าา เพราะฉะนั้น ตอนเช็คอินจะมานิวเดลีถามเจ้าหน้าที่ที่เลห์ก่อนเพื่อความชัวร์เนอะ
แต่โปรดระวัง และเช็คกับการสายการบินอยู่เสมอเพราะมัน re-time บ่อยเหลือเกิน โดยเฉพาะ DEL-IXL และ IXL-DEL น่าจะเพราะสภาพอากาศ
อีกอย่างหนึ่ง - ไฟล์ท BKK-DEL-IXL
เมื่อไปถึงนิวเดลีแล้ว ให้รับกระเป๋าเดินทางปกติ มันไม่มี Check-through (ก่อนเช็คอินที่สุวรรณภูมิ หรือก่อนขึ้นเครื่อง ถามเจ้าหน้าที่อีกทีก็ได้ อนาคตอาจเปลี่ยนแปลง)
แต่ ไฟล์ท IXL-DEL-BKK มันดัน Check-through ไปกรุงเทพเลยซะงั้น ไม่ค่อยเข้าใจ เพราะยืนรอกระเป๋านานมากจนเจ้าหน้าที่สายการบินเดินมาบอกว่ากระเป๋าไปแล้วค่ะ ไม่ต้องรอจ้าา เพราะฉะนั้น ตอนเช็คอินจะมานิวเดลีถามเจ้าหน้าที่ที่เลห์ก่อนเพื่อความชัวร์เนอะ
DEL
อาหาร เครื่องดื่ม
ที่สนามบินนิวเดลี มีร้านกาแฟประปราย แต่ถ้าอยากได้ Starbucks ก็ต้องเช็คอินเข้าไปที่อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศก่อนนะ (หรืออีกที่หนึ่ง ก็คือ อาคารผู้โดยสารขาเข้าฝั่งในประเทศ จะเจออยู่ก่อนถึงสายพานรับกระเป๋า) หลังจากนี้ก็ไม่เห็นแล้ว ส่วนรสชาตินั้นอร่อยดี ราคาก็ทั่วไปตามแบรนด์
มุมหลับนอนระหว่างรอเครื่อง
ก็นอนรอได้ตามเก้าอี้ในอาคารผู้โดยสารเลย คนพลุกพล่านมาก ไม่รู้สึกอันตรายอะไร เพราะสนามบินจะไม่ให้คนที่ไม่มีตั๋วเครื่องบินเข้ามา - เพราะฉะนั้น โปรดระวัง กรุณาพกตั๋วเครื่องบินติดตัวเสมอเมื่อจะไปสนามบิน และถ้ายังไม่ถึง 3 ชั่วโมงก่อนออกเดินทาง ทหารที่เฝ้าเวรยามอยู่หน้าสนามบินนั้นจะไม่ยอมให้คุณเข้าไปง่ายๆ (ถ้ารอต่อเครื่องไม่นาน ไม่ได้จะไปพักโรงแรมนอกเมือง ก็อย่าออกมาเลยดีที่สุด นอนเล่น เดินเล่นในนั้นแหละ)
เรื่องตรวจสแกนร่างกาย และการผ่าน ตม.
เข้าใจว่าสนามบินแต่ละเมืองของอินเดียน่าจะมีการตรวจร่างกายและผ่าน ตม. ต่างกันไป เพราะเทียบจากทริปชัยปุระนั้นเจอ ตม. และสแกนร่างกายถี่มากเหลือเกินแม่จ๋า - ผู้หญิงจะมีห้องเล็กๆ กั้นต่างหาก ตรวจละเอียด แต่ไม่ได้น่ากลัว แต่ก็ไปเจอเรื่องน่ากลัวตอนสแกนกระเป๋าติดตัว เปิดประสบการณ์โดนยึดกระเป๋า ฮา งงมาก ทำไมเธอเอากระเป๋าฉันไปเก็บแยกไว้ ต้องเดินไปหาแล้วบอกว่านั่นของฉันนะ ทหารก็ให้เรารื้อ ตรวจหมด กล้องสองตัว กระเป๋าสตางค์ กระเป๋าใส่ของจุกจิก ตอนนั้นกลัวมากจริงๆ แบบอะไรวะน่ะ แต่สงสัยเพราะลืมเอากล้องแยกออกมาตอนสแกนแหละ และหลังจากนั้นก็ไม่เคยพลาดแยกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใดๆ ออกมาอีกเลย
อาหาร เครื่องดื่ม
ที่สนามบินนิวเดลี มีร้านกาแฟประปราย แต่ถ้าอยากได้ Starbucks ก็ต้องเช็คอินเข้าไปที่อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศก่อนนะ (หรืออีกที่หนึ่ง ก็คือ อาคารผู้โดยสารขาเข้าฝั่งในประเทศ จะเจออยู่ก่อนถึงสายพานรับกระเป๋า) หลังจากนี้ก็ไม่เห็นแล้ว ส่วนรสชาตินั้นอร่อยดี ราคาก็ทั่วไปตามแบรนด์
มุมหลับนอนระหว่างรอเครื่อง
ก็นอนรอได้ตามเก้าอี้ในอาคารผู้โดยสารเลย คนพลุกพล่านมาก ไม่รู้สึกอันตรายอะไร เพราะสนามบินจะไม่ให้คนที่ไม่มีตั๋วเครื่องบินเข้ามา - เพราะฉะนั้น โปรดระวัง กรุณาพกตั๋วเครื่องบินติดตัวเสมอเมื่อจะไปสนามบิน และถ้ายังไม่ถึง 3 ชั่วโมงก่อนออกเดินทาง ทหารที่เฝ้าเวรยามอยู่หน้าสนามบินนั้นจะไม่ยอมให้คุณเข้าไปง่ายๆ (ถ้ารอต่อเครื่องไม่นาน ไม่ได้จะไปพักโรงแรมนอกเมือง ก็อย่าออกมาเลยดีที่สุด นอนเล่น เดินเล่นในนั้นแหละ)
เรื่องตรวจสแกนร่างกาย และการผ่าน ตม.
เข้าใจว่าสนามบินแต่ละเมืองของอินเดียน่าจะมีการตรวจร่างกายและผ่าน ตม. ต่างกันไป เพราะเทียบจากทริปชัยปุระนั้นเจอ ตม. และสแกนร่างกายถี่มากเหลือเกินแม่จ๋า - ผู้หญิงจะมีห้องเล็กๆ กั้นต่างหาก ตรวจละเอียด แต่ไม่ได้น่ากลัว แต่ก็ไปเจอเรื่องน่ากลัวตอนสแกนกระเป๋าติดตัว เปิดประสบการณ์โดนยึดกระเป๋า ฮา งงมาก ทำไมเธอเอากระเป๋าฉันไปเก็บแยกไว้ ต้องเดินไปหาแล้วบอกว่านั่นของฉันนะ ทหารก็ให้เรารื้อ ตรวจหมด กล้องสองตัว กระเป๋าสตางค์ กระเป๋าใส่ของจุกจิก ตอนนั้นกลัวมากจริงๆ แบบอะไรวะน่ะ แต่สงสัยเพราะลืมเอากล้องแยกออกมาตอนสแกนแหละ และหลังจากนั้นก็ไม่เคยพลาดแยกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใดๆ ออกมาอีกเลย
20.10.18
NewDelhi to Leh-Ladakh
ที่เค้าบอกว่าถ้าไปเลห์ให้นั่งติดหน้าต่างฝั่งซ้าย แล้วก็ต้องรีบจองที่ด้วยเพราะเดี๋ยวมุมดีๆ มันเต็ม
ให้รีบจองที่น่ะจริง เสียเงินค่าเก้าอี้นะ ไม่ฟรี ถ้าอยากฟรีก็ไม่ต้องนั่งติดหน้าต่าง แต่เรื่องนั่งฝั่งซ้าย จริงๆ ถ้าไม่ซีเรียส ขวาก็ได้ เพราะเราก็นั่งขวา แต่มันจะย้อนแสง แอบเหลือบมองคนนั่งฝั่งซ้ายแล้วไม่เจอพระอาทิตย์จังก้าใส่เลย
เอาเถอะ มันสวยอยู่ดีแหละ และประมาณ 20 นาทีก่อนแลนดิ้งก็ห้ามหลับเลยนะ เราถ่ายรูปจนเกรงใจลุงคนข้างๆ แม้ว่าลุงจะหลับตลอดก็ตาม
ให้รีบจองที่น่ะจริง เสียเงินค่าเก้าอี้นะ ไม่ฟรี ถ้าอยากฟรีก็ไม่ต้องนั่งติดหน้าต่าง แต่เรื่องนั่งฝั่งซ้าย จริงๆ ถ้าไม่ซีเรียส ขวาก็ได้ เพราะเราก็นั่งขวา แต่มันจะย้อนแสง แอบเหลือบมองคนนั่งฝั่งซ้ายแล้วไม่เจอพระอาทิตย์จังก้าใส่เลย
เอาเถอะ มันสวยอยู่ดีแหละ และประมาณ 20 นาทีก่อนแลนดิ้งก็ห้ามหลับเลยนะ เราถ่ายรูปจนเกรงใจลุงคนข้างๆ แม้ว่าลุงจะหลับตลอดก็ตาม
วิวจากเครื่องบินก็สวยจนหยุดถ่ายรูปไม่ได้แล้ว สวยแบบ สวยอะไรขนาดนี้ แต่ขอคอมเพลนหน่อยเรื่องหน้าต่างเครื่องบินสกปรกมาก คราบน้ำ คราบฝุ่น เรามองว่ามันเป็นไฟล์ทขายวิว มันควรจะใส่ใจความสะอาดกว่านี้มั้ย
ส่วนอาหารก็คือขนมปัง เป็น veg กับน้ำเปล่าขวดเล็ก
IXL
ก่อนมาที่นี่ ถามลัคกี้บ่อยมากว่าสภาพอากาศเป็นยังไง ลัคกี้บอกว่าเย็นสบายมากเลยยู อากาศดี หนาวแค่ตอนกลางคืน แต่ก็ไม่ประมาท เช็คมาอย่างดี เตรียมเสื้อผ้ามาอย่างดีด้วย เห็นติดลบทุกวัน มันดียังไงน่ะ - และเรื่องจริงมันหนาวแบบตายได้เลย
เพราะสนามบินเลห์เป็นสนามบินที่เล็กมากๆ นึกภาพว่ามันเป็นสนามบินในชนบท บวกกับภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และอะไรก็ตามแต่ไม่ได้อำนวยให้ระบบต่างๆ มันพัฒนาหรือดีอย่างสนามบินในเมืองที่ถูกพัฒนาแล้ว แต่ก็เป็นสนามบินที่น่ารักมาก เครื่องบินจอดสนิทที่ลาน มีรถบัสมารับไปส่งในตัวอาคาร ในรถบัสไม่มีฮีทเตอร์ ไม่มีเครื่องทำความร้อนใดๆ ดังนั้นก่อนออกจากเครื่องบินให้สวมเสื้อกันหนาวให้เรียบร้อย เอาให้ตัวเองทนไหวไปจนถึงที่พัก หรือจนกว่าจะได้พักยาวๆ เพราะหลังจากนี้ให้ลืมอุปกรณ์ทำความร้อนไปได้เลย อย่าคาดหวังเด็ดขาด มันไม่มีหรอก
เดินเข้ามาแล้วจะเจอสายพานรับกระเป๋าทางขวามือ มีเจ้าหน้าที่แจกใบ Immigrationให้กรอก คำถามปกติทั่วไป เลขพาสปอร์ต เลขวีซ่า วันมาถึง แต่ละวันไปไหนบ้าง ข้อมูลที่ติดต่อได้ โรงแรมที่พัก อะไรทำนองนั้น ควรกรอกให้ละเอียดและชัดเจน เผื่อเกิดอะไรขึ้นเขาจะได้ติดต่อได้ถูก
โปรดจำไว้เสมอว่าที่นี่คือชนบท มันห่างไกลจากความเจริญ ที่นี่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมาก มีคนจำนวนมากที่มีอาการแพ้ที่สูงในระดับที่แตกต่างกันไป ดังนั้นอะไรที่ทำให้ตัวเองปลอดภัยได้ก็ไม่ควรละเลย
กรอกรายละเอียดเรียบร้อยก็ส่งคืนใบให้เจ้าหน้าที่ เป็นอันเสร็จ ใครมีไกด์มารอก็จะเห็นยืนถือป้ายกันอยู่หน้าประตูทางออก ใครไม่มีไกด์อยากติดต่อแท็กซี่ ก็มีบริเวณนั้นได้เลย ส่วนใครอยากเข้าห้องน้ำก่อน ก็ตามอัธยาศัย ห้องน้ำไม่แย่ – จริงๆ นะ
สำหรับไกด์ของเรา จริงๆ ก็ไม่ใช่ลัคกี้หรอก ชื่อ Tashi เป็นเพื่อนของลัคกี้ เพราะวันที่เรามาถึงลัคกี้ติดกรุ๊ปอื่นอยู่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็ติดต่อทุกเรื่องผ่านลัคกี้มาโดยตลอด และการที่เจอทาชิยืนถือป้ายชื่อเราอยู่หน้าสนามบินก็โล่งอกมา เพราะกลัวจะไม่มีคนมารับ ฮา
ทาชิพาเรามาส่งที่โฮสเทล มันใกล้สนามบินมาก แบบห้านาทีถึงเลย แล้วก็นัดแนะเวลากันตอน 3 โมงเย็น (เวลาที่ทาชิเลือกให้เอง) แล้วก็ขอพาสปอร์ตตัวจริง กับ E-visa เรากับเพื่อนไป เพื่อไปทำ permit ให้สำหรับเข้า Pangong Tso และ Nubra
ก่อนมาที่นี่ ถามลัคกี้บ่อยมากว่าสภาพอากาศเป็นยังไง ลัคกี้บอกว่าเย็นสบายมากเลยยู อากาศดี หนาวแค่ตอนกลางคืน แต่ก็ไม่ประมาท เช็คมาอย่างดี เตรียมเสื้อผ้ามาอย่างดีด้วย เห็นติดลบทุกวัน มันดียังไงน่ะ - และเรื่องจริงมันหนาวแบบตายได้เลย
เพราะสนามบินเลห์เป็นสนามบินที่เล็กมากๆ นึกภาพว่ามันเป็นสนามบินในชนบท บวกกับภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และอะไรก็ตามแต่ไม่ได้อำนวยให้ระบบต่างๆ มันพัฒนาหรือดีอย่างสนามบินในเมืองที่ถูกพัฒนาแล้ว แต่ก็เป็นสนามบินที่น่ารักมาก เครื่องบินจอดสนิทที่ลาน มีรถบัสมารับไปส่งในตัวอาคาร ในรถบัสไม่มีฮีทเตอร์ ไม่มีเครื่องทำความร้อนใดๆ ดังนั้นก่อนออกจากเครื่องบินให้สวมเสื้อกันหนาวให้เรียบร้อย เอาให้ตัวเองทนไหวไปจนถึงที่พัก หรือจนกว่าจะได้พักยาวๆ เพราะหลังจากนี้ให้ลืมอุปกรณ์ทำความร้อนไปได้เลย อย่าคาดหวังเด็ดขาด มันไม่มีหรอก
เดินเข้ามาแล้วจะเจอสายพานรับกระเป๋าทางขวามือ มีเจ้าหน้าที่แจกใบ Immigrationให้กรอก คำถามปกติทั่วไป เลขพาสปอร์ต เลขวีซ่า วันมาถึง แต่ละวันไปไหนบ้าง ข้อมูลที่ติดต่อได้ โรงแรมที่พัก อะไรทำนองนั้น ควรกรอกให้ละเอียดและชัดเจน เผื่อเกิดอะไรขึ้นเขาจะได้ติดต่อได้ถูก
โปรดจำไว้เสมอว่าที่นี่คือชนบท มันห่างไกลจากความเจริญ ที่นี่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมาก มีคนจำนวนมากที่มีอาการแพ้ที่สูงในระดับที่แตกต่างกันไป ดังนั้นอะไรที่ทำให้ตัวเองปลอดภัยได้ก็ไม่ควรละเลย
กรอกรายละเอียดเรียบร้อยก็ส่งคืนใบให้เจ้าหน้าที่ เป็นอันเสร็จ ใครมีไกด์มารอก็จะเห็นยืนถือป้ายกันอยู่หน้าประตูทางออก ใครไม่มีไกด์อยากติดต่อแท็กซี่ ก็มีบริเวณนั้นได้เลย ส่วนใครอยากเข้าห้องน้ำก่อน ก็ตามอัธยาศัย ห้องน้ำไม่แย่ – จริงๆ นะ
สำหรับไกด์ของเรา จริงๆ ก็ไม่ใช่ลัคกี้หรอก ชื่อ Tashi เป็นเพื่อนของลัคกี้ เพราะวันที่เรามาถึงลัคกี้ติดกรุ๊ปอื่นอยู่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็ติดต่อทุกเรื่องผ่านลัคกี้มาโดยตลอด และการที่เจอทาชิยืนถือป้ายชื่อเราอยู่หน้าสนามบินก็โล่งอกมา เพราะกลัวจะไม่มีคนมารับ ฮา
ทาชิพาเรามาส่งที่โฮสเทล มันใกล้สนามบินมาก แบบห้านาทีถึงเลย แล้วก็นัดแนะเวลากันตอน 3 โมงเย็น (เวลาที่ทาชิเลือกให้เอง) แล้วก็ขอพาสปอร์ตตัวจริง กับ E-visa เรากับเพื่อนไป เพื่อไปทำ permit ให้สำหรับเข้า Pangong Tso และ Nubra
Hostelavie Leh
ที่นี่น่ารักมาก ถึงแม้จะยังไม่ใช่เวลาเช็คอินแต่ก็ให้เช็คอินแล้วก็ให้อาหารเช้าด้วย ที่ มัน กิน ไม่ ได้ มันเหมือนข้าวเหนียวเปียกลำไย แต่เปลี่ยนจากลำไยเป็นกล้วยอะ ลาก่อน กินไปห้าคำให้พอยุบๆ เพราะเกรงใจในน้ำใจของเค้า แล้วก็เลิกกัน แต่ชานมอร่อย เลิ้บเลย
ที่นี่น่ารักมาก ถึงแม้จะยังไม่ใช่เวลาเช็คอินแต่ก็ให้เช็คอินแล้วก็ให้อาหารเช้าด้วย ที่ มัน กิน ไม่ ได้ มันเหมือนข้าวเหนียวเปียกลำไย แต่เปลี่ยนจากลำไยเป็นกล้วยอะ ลาก่อน กินไปห้าคำให้พอยุบๆ เพราะเกรงใจในน้ำใจของเค้า แล้วก็เลิกกัน แต่ชานมอร่อย เลิ้บเลย
แต่ที่แย่กว่าอาหารนะ - มันไม่มีฮีทเตอร์ มันไม่มีฮีทเตอร์ มันไม่มีฮีทเตอร์
มันหนาวมาก แบบล้างมือก็ไม่ได้ จะล้างหน้าก็ต้องเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าเหมือนตอนป่วย น้ำอุ่นอย่าหวัง เมืองนี้ไฟดับเก่งมาก แล้วมันก็หนาวเกินกว่าเครื่องทำน้ำอุ่นจะทำงานไหว ถ้าอยากอาบน้ำก็ไปขอให้เค้าต้มน้ำให้ได้นะ แต่วันแรกมาถึงให้ล้างหน้าแปรงฟัน ห้ามอาบน้ำ ห้ามสระผม แล้วก็ไปนอนหลับให้สนิทเลยอย่างต่ำ 4 ชั่วโมง เพราะเรามาจากที่ราบ ที่นี่มันสูงมาก เราต้องปรับตัว
ห้ามแหกกฎ ไม่งั้นจะทรมานแบบสาหัส และอาจถึงตายได้
แน่นอนว่าหลังจากหลับสนิทไปหลายชั่วโมง ตื่นมาก็โซ้ยมาม่ากับหมูหยองเลย ไอเลิ้บมาม่าต้มยำกุ้งอีกร้อยเท่าเมื่อกินที่นี่ แล้วก็ได้คุยกับเมเนเจอร์ของโฮสเทลด้วย จำชื่อไม่ได้ เพราะชื่อเรียกยากมาก ขอเรียกว่าคุณป้าก็แล้วกัน เค้าบอกว่ามีคนไทยมาเยอะมาก แล้วเท่าที่เห็นคือคนไทยจะพกมาม่า พกอาหารไทยมาทุกคนเลย กับคนอื่นเราไม่รู้ว่ายังไง แต่เราพกมาคือเจ็บช้ำจากอาหารอินเดียเมื่อคราวก่อน มันกินไม่ได้เลย แล้วยิ่งมาอยู่ในที่แบบนี้ถ้ายิ่งกินไม่ได้ก็คือยิ่งแย่ ก็เลยพกมากันตาย
คุณป้าบอกว่าเดี๋ยวอีกไม่กี่วันโฮสเทลก็จะปิดเหมือนกันนะ เพราะอากาศมันจะยิ่งหนาวขึ้น ช่วงนี้ก็โลว์ซีซั่นแล้วด้วย (นี่ขนาดโลว์นะ คนยังเยอะขนาดนี้ ถ้าไฮล่ะก็ไม่อยากจะคิดเลย) ส่วนถ้าใครอยากมาช่วงไฮก็ช่วงเดือน 7-8 อากาศจะราวๆ 20 กว่าองศา กำลังเย็นสบาย
Around Leh
จริงๆ แล้วไม่มีแพลนอะไรสำหรับที่เลห์เลย ที่อื่นก็ด้วยเหมือนกัน มีแค่ฉันจะไปขี่อูฐ และฉันจะไปทะเลสาบ ที่เหลือฉันไม่รู้ แต่ทาชิก็จัดการให้หมด เสนอทุกอย่าง พาไปเอง ทาชิว่าไงเราว่างั้น
ส่วนหนึ่งเพราะภาษาอังกฤษคนที่นี่ฟังยากมากกกกกกกกกก! แบบห๊ะ อะไรนะ ไม่รู้เรื่องเลยจ้า แต่พยักหน้ารับพร้อมยิ้มแฉ่ง คือมันจะไม่ใช่ภาษาอังกฤษแบบอินเดีย ไม่รู้เค้าเรียกสำเนียงอะไร แต่มันฟังยากจริงๆ จัลล้องงง!
สามโมงเย็น ทาชิมาก่อนเวลานิดหน่อย แล้วก็พาไปที่แรกคือ Shanti Stupa ลักษณะเหมือนเจย์ดีบ้านเรา เข้าฟรี ใช้เวลาที่นี่แป๊บเดียวมาก แค่ถ่ายรูปโดยรอบเพราะสวยมาก ไม่รู้จะอธิบายยังไง ยืนถ่ายรูปมุมเดิมได้หลายรูปเลย วิวเหมือนไปยุโรปจริงๆ
จริงๆ แล้วไม่มีแพลนอะไรสำหรับที่เลห์เลย ที่อื่นก็ด้วยเหมือนกัน มีแค่ฉันจะไปขี่อูฐ และฉันจะไปทะเลสาบ ที่เหลือฉันไม่รู้ แต่ทาชิก็จัดการให้หมด เสนอทุกอย่าง พาไปเอง ทาชิว่าไงเราว่างั้น
ส่วนหนึ่งเพราะภาษาอังกฤษคนที่นี่ฟังยากมากกกกกกกกกก! แบบห๊ะ อะไรนะ ไม่รู้เรื่องเลยจ้า แต่พยักหน้ารับพร้อมยิ้มแฉ่ง คือมันจะไม่ใช่ภาษาอังกฤษแบบอินเดีย ไม่รู้เค้าเรียกสำเนียงอะไร แต่มันฟังยากจริงๆ จัลล้องงง!
สามโมงเย็น ทาชิมาก่อนเวลานิดหน่อย แล้วก็พาไปที่แรกคือ Shanti Stupa ลักษณะเหมือนเจย์ดีบ้านเรา เข้าฟรี ใช้เวลาที่นี่แป๊บเดียวมาก แค่ถ่ายรูปโดยรอบเพราะสวยมาก ไม่รู้จะอธิบายยังไง ยืนถ่ายรูปมุมเดิมได้หลายรูปเลย วิวเหมือนไปยุโรปจริงๆ
เจดีย์ถ่ายมาไม่สวยเลย เพราะกล้องแบตหมด ฮือๆ
เสร็จจากตรงนี้ก็ไป Namgyal Tsemo Monastery ตรงนี้ก็ฟรีเหมือนกัน เห็นหลายคนเข้าไปดูข้างในด้วย แต่เราดูรอบๆ แค่รอบๆ ก็สวยแบบไม่อยากจะเดินไปไหน เพราะเหนื่อย - จริงๆ เพราะวิวดี นั่งมองได้เป็นชั่วโมงเลย เงียบสงบมาก
Leh Palace ตรงนี้ก็ไม่ได้เข้าไปอีกแล้ว เพราะเหนื่อย เลยแค่ถ่ายรูปข้างนอกแล้วดูวิวเฉยๆ ลักษณะคล้ายกับที่เมื่อกี้ แต่เมื่อกี้สวยกว่า
Leh Main Bazar เป็นที่สุดท้ายของวันนี้ น่าจะเรียกว่าเป็นตลาดยอดฮิต ไม่ได้กว้างขวางใหญ่โตอะไรนัก แต่มีตลาดใกล้ๆ ใหญ่กว่ามาก ของเยอะกว่า ไม่รู้ชื่อว่าตลาดอะไรและก็ไม่ได้แวะด้วย
เรามาถึงตอนเย็นแล้ว ประมาณห้าโมงเย็นได้ แล้วนัดกับทาชิไว้ว่าอีกหนึ่งชั่วโมงเจอกัน - จริงๆ มาที่นี่เพราะเพื่อนจะมาซื้อเสื้อกันหนาว ซึ่งถ้าใครจะมาหาซื้อที่นี่ก็ได้ เป็นของเลียนแบบ ราคาหลักพัน ใส่ให้ความอบอุ่นได้ดีอยู่เหมือนกัน มีร้านขายเยอะแยะเลย และร้านค้าที่นี่ส่วนใหญ่ก็ขายพวกเครื่องประดับ เสื้อผ้า กระเป๋าลวดลายต่างๆ ราคาไม่แพงด้วย
ไหนๆ ก็มาตลาดแล้ว นึกได้ว่ามีร้านพิซซ่าร้านหนึ่งที่มีวายฟายฟรีและรีวิวว่าอาหารอร่อย มองหาตั้งแต่ต้นจนสุดซอยว่าใช้ร้านป้ายสีฟ้าๆ ชื่อ The Blue Lotus หรือเปล่าแต่ต่ก็ดูไม่มีร้านอื่นที่จะใกล้เคียงพิซซ่าไปมากกว่านี้แล้ว และที่สำคัญที่นี่มีวายฟายด้วย ตัดสินใจเข้าร้านนี้แหละ - เข้าไปแล้วงงมาก มีคนนั่งอยู่ 2 โต๊ะ แต่ทุกโต๊ะมีจานวางหมด พนักงานที่ยืนกดโทรศัพท์อยู่ก็กดต่อไป งงว่าเค้าไม่เก็บโต๊ะกันหรอ แต่พอเห็นเรากับเพื่อนก็ทักทายแล้วจัดหาโต๊ะให้ทันที แต่ก็ไม่ได้เก็บโต๊ะอื่น วางจานไว้อย่างนั้น งงจริงๆ
เข้าใจว่าที่นี่น่าจะเป็น Indian and Thai restaurant เพราะมีเมนูไทยๆ ด้วย แต่สั่งไปแค่พิซซ่าไก่ สปาเก็ตตี้ไก่ สองอย่าง เมนูที่นี่จะเป็นจำพวกไก่ ไข่ และเวจ ไม่มีหมู ไม่มีเนื้อ กินไก่นี่แหละ เซฟๆ
พิซซ่าที่ว่า เป็นอย่างเดียวที่ถ่ายไว้ อย่างอื่นรอไม่ไหว ต้องรีบกินเพราะนานมากกว่าจะมาถึง เดี๋ยวจะไม่ทันเวลาที่นัดกับทาชิ แต่รสชาติเกินคาดหวัง มันดีกว่าที่คิด ลืมอาหารอินเดียที่เคยกินที่ชัยปุระไปได้เลย ถึงมันจะไม่ได้อร่อยมาก แต่มันกินได้อย่างมีความสุขจริงๆ บอกตัวเองว่าต้องกิน กินเยอะๆ จะได้มีแรงไปต่อสู้กับความสูง - แต่ lemon tea อร่อยมาก
และเราออกจากร้านพิซซ่าตอนหกโมงกว่า เลยเวลานัดมาห้านาที ก็คือทาชิเดินมาตามหาแล้ว กลัวหลง ฮา
เรื่องดีๆ ก่อนนอนในวันนี้คือ กลับถึงโฮสเทลไฟก็มาแล้วจ้าาา เล่นวายฟายได้แล้ว น้ำอุ่นก็ใช้ได้แล้ว เพื่อนก็พยายามจะรองน้ำอุ่นล้างหน้า แต่คือว่ามันหนาวมาก ไม่ว่ามันพยายามจะทำให้น้ำอุ่นเท่าไหร่มันก็ไม่อุ่น แต่มันก็ดีขึ้นมานิดนึง แบบนิดนึงจริงๆ - ส่วนเราขี้เกียจรอแล้ว เอาผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าแล้วกัน มันหนาวมาก แล้วเตียงก็เย็นมาก ต้องรีบนอน เพราะนัดทาชิไว้แปดโมงเช้า ต้องรีบตื่นมากินข้าวด้วย
21.10.18
Hunder / Nubra
ตื่นเช้ามาก และตื่นเต้นมากเพราะจะได้ออกไปนอกเมืองแล้ว ทาชิบอกตอนกำลังออกจากโฮสเทลว่าวันนี้จะไปไหนบ้าง ซึ่งแน่นอนว่าฟังไม่รู้เรื่องหรอก โอเคๆ ทาชิ เลทสึโกเลย
เรากำลังมุ่งหน้าสู่ Nubra Valley ผ่าน Khardung La Pass มันเป็นทางตัดลัดเลาะเขา ต้องขับรถไต่เขาขึ้นไปเรื่อยๆ ทาชิแวะให้ถ่ายรูปเป็นจุดๆ แต่ถ้าอยากให้หยุดตรงไหนเป็นพิเศษบอกเลย ถ้าทางมันจอดได้จะจอดให้ - จากเลห์ไปนูบรามันไกลมาก นั่งรถหลายชั่วโมงเลย ถ้าไม่อยากฟังเพลงท้องถิ่นก็เตรียมแฟลชไดร์มา ไม่อย่างนั้นเธอก็จะได้ฟังเพลงอินเดียไปตลอดทาง (จากทริปนี้ค้นพบว่าถ้าเพลงที่พกมาเป็นพลงที่ร้องได้ด้วยก็จะสนุกขึ้นไปอีก จะไม่น่าเบื่อ เหมือนได้มีอะไรทำมากกว่านั่งรถเฉยๆ)
รู้สึกได้แม้ว่าจะนั่งอยู่ในรถที่เปิดฮีทเตอร์ตลอดทางว่าข้างนอกมันหนาวมากจริงๆ ถึงแม้ว่าพื้นที่จะโล่งกว้างโอบล้อมด้วยภูเขา มีแดดส่องมาทุกทิศทางแต่มันก็หนาว มันหนาวๆ แห้งๆ ไม่ใช่หนาวเกาหลี ญี่ปุ่นอะไรเทือกนั้น หนาวและแห้งแบบผิวไหม้ได้ ให้เตรียมแว่นกันแดดมาด้วย เพราะแดดแยงตาตลอดทาง ยิ่งถ้าเจอหิมะมันจะสะท้อนแดด แสบตาไปใหญ่
เรากำลังมุ่งหน้าสู่ Nubra Valley ผ่าน Khardung La Pass มันเป็นทางตัดลัดเลาะเขา ต้องขับรถไต่เขาขึ้นไปเรื่อยๆ ทาชิแวะให้ถ่ายรูปเป็นจุดๆ แต่ถ้าอยากให้หยุดตรงไหนเป็นพิเศษบอกเลย ถ้าทางมันจอดได้จะจอดให้ - จากเลห์ไปนูบรามันไกลมาก นั่งรถหลายชั่วโมงเลย ถ้าไม่อยากฟังเพลงท้องถิ่นก็เตรียมแฟลชไดร์มา ไม่อย่างนั้นเธอก็จะได้ฟังเพลงอินเดียไปตลอดทาง (จากทริปนี้ค้นพบว่าถ้าเพลงที่พกมาเป็นพลงที่ร้องได้ด้วยก็จะสนุกขึ้นไปอีก จะไม่น่าเบื่อ เหมือนได้มีอะไรทำมากกว่านั่งรถเฉยๆ)
รู้สึกได้แม้ว่าจะนั่งอยู่ในรถที่เปิดฮีทเตอร์ตลอดทางว่าข้างนอกมันหนาวมากจริงๆ ถึงแม้ว่าพื้นที่จะโล่งกว้างโอบล้อมด้วยภูเขา มีแดดส่องมาทุกทิศทางแต่มันก็หนาว มันหนาวๆ แห้งๆ ไม่ใช่หนาวเกาหลี ญี่ปุ่นอะไรเทือกนั้น หนาวและแห้งแบบผิวไหม้ได้ ให้เตรียมแว่นกันแดดมาด้วย เพราะแดดแยงตาตลอดทาง ยิ่งถ้าเจอหิมะมันจะสะท้อนแดด แสบตาไปใหญ่
Khardung La Pass
เมื่อเข้าเขต Khardung La Pass ทาชิก็ขอพาสปอร์ตไปเพื่อไปยื่นเข้าเขต ระหว่างรอก็เห็นเม็ดอะไรขาวๆ หล่นลงมา - หิมะ! หิมะะะะะะะะ หิมะตกนิดๆ ฝนตกมาด้วย
แต่พอขับรถไปเรื่อยๆ ก็เจอหิมะหนักขึ้นเรื่อยๆ จากถนนลาดยาง ซ้ายเป็นภูเขา ขวาเป็นเหว เป็นพื้นดิน ค่อยๆ กลายเป็นเส้นทางหิมะ และกลายเป็นหิมะไปตลอดทาง ไม่ได้รู้สึกกลัวเลย สงสัยว่าจะไว้ใจทาชิมาก มีแต่สวยๆๆๆๆๆ ตื่นเต้นไปหมด
เราไต่ความสูงไปเรื่อยๆ จนไปถึงทางผ่านสำคัญ มันจะมีป้ายบอกว่า Khardung La Pass เป็นถนนที่สูงที่สุดในโลก ที่ระดับ 5,359 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล (ข้อมูลตอนนี้จะมีที่อื่นที่เนปาลแซงไปแล้ว แต่ไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก) หิมะปกคลุมเต็มไปหมดทุกพื้นที่ ทาชิจอดให้เราลงไปถ่ายรูป เพื่อนก็ปวดเบาพอดีเลยได้ฉี่ในห้องน้ำเล็กๆ ริมเนิน ที่เย็นเฉียบมากๆ หิมะโปรยลงมาไม่หยุดเลย
สวยมาก สวยมากโคตรๆ!
หนาวมาก หนาวแบบไม่ไหวแล้ว หนาวมากโคตร!
เราอยู่ตรงนั้นนานไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะเกิดอาการแพ้ที่สูงได้ อีกอย่างก็หนาวเกินไปด้วย ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที ทั้งให้เพื่อนไปฉี่ ทั้งถ่ายรูปก็วิ่งกลับมาที่รถ หิมะติดเต็มรองเท้าเปียกไปหมด
On the way
เราเดินต่อทางบนถนนที่ลัดเลาะเขา ไต่ความสูงไปเรื่อยๆ อย่างเดิม แล้วก็ไต่ลงมา เส้นทางลาดชัน น่ากลัว บรรยากาศเดิมๆ มีหิมะ มีรถทหารสวนทางผ่านกันตลอด แต่กลับไม่ได้รู้สึกว่ามันน่ากลัวเลยสักนิด ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า แต่ทหารที่นี่ดูเป็นมิตรดี ไม่เหมือนในหนัง ทาชิบอกว่าที่มีรถทหารวิ่งผ่านไปมาตลอดเพราะที่นี่มีคนปากีสถานอาศัยอยู่ด้วย แล้วก็ยังอยู่ติดกับพรมแดนปากีสถานด้วย
อีกหนึ่งจุดแวะพักที่ให้เราลงไปถ่ายรูปกับน้องๆ มันคือตัวอะไรก็ไม่รู้ แต่มันไม่วิ่ง ไม่ดุร้าย ไม่มากัด ถึงจะมีคนพอสมควร แต่มันก็อยู่ของมัน น่ารักมาก น่ารักตรงที่น้องไม่โวยวายนี่แหละ ฮา
ตรงนี้ตรงไหนไม่รู้ แต่บอกทาชิให้จอด สวยมาก สวยแบบตายได้เลยอีกเหมือนกัน สวยแบบไม่คิดว่าจะมีอยู่จริง พอถ่ายรูปข้างบนได้แป๊บนึง ทาชิก็ไปจอดข้างล่างให้ไปถ่ายใกล้ๆ ด้วย พอเห็นใกล้ๆ แล้วก็ยิ่งสวย สวยที่จับต้องได้มีอยู่จริง
ผ่านตรงนี้ก็เริ่มเข้าเขตหมู่บ้าน มีร้านอาหาร มีคาเฟ่ที่เปิดบ้างปิดบ้าง ทาชิถามรายทางว่าหิวมั้ย กินไรป่าว ก็คือไม่หิวเลย ไม่หิวจริงๆ หรือกลัวว่าอาหารมันจะไม่อร่อยก็ไม่รู้ แต่สุดท้ายทาชิก็แวะร้านอาหารพาเรามากินข้าวจนได้ เค้าบอกให้ลงไปกิน - เออ กินก็ได้จ้า
จากตอนแรกที่ไม่หิว พอได้กลิ่นอาหารก็หิวเลย เราสั่ง Lemon tea, Veg-noodle, ข้าวผัดไข่, หัวหอมทอด อาหารยังคงเป็นเวจทั้งหมด มีแค่ผัก ไข่ มีเท่านี้ เราถ่ายรูปมาได้สองอย่างเพราะรีบกิน กลัวจะเสียเวลา แล้วก็หิวด้วย
นี่น่าจะเป็นมื้อแรกที่ได้กินอะไรแบบจริงจัง ถ้าไม่นับพิซซ่าเมื่อวาน - ข้าวผัดรสชาติแบบข้าวผัดบ้านเรา มีกลิ่นเครื่องเทศน้อย หัวหอมทอดก็กลิ่นเครื่องเทศมากหน่อย ส่วนก๋วยเตี๋ยวผักก็คือมาม่าผัดบ้านเราเลย ทุกอย่างจานใหญ่มาก ทั้งหมดที่สั่งมากินไม่หมด ขนาดเพื่อนเป็นคนกินเก่งมากก็ยังกินไม่หมด รวมราคา 460 รูปี ประมาณ 200 กว่าบาท หารกันแค่คนละร้อยกว่าบาท ถูกมาก เพราะมันเยอะมากกกกก
รสชาติประทับใจมาก ลืมฝันร้ายที่ชัยปุระไปสนิทใจ
Diskit Monastery
เป็นสถานที่ท่องเที่ยวหนึ่ง ก่อนจะไปเจอน้องๆ อูฐ ระหว่างทางไปดิสกิทมีให้ขี่รถ ATV ด้วย อยากลองเหมือนกันแต่ไม่มีเวลา ทาชิบอกว่ารอบหน้าให้ลองมาดูนะ โอเค จะลองนะ
ที่นี่มาค่าเข้าชมคนละ 30 รูปี ทาชิทักทายพระเหมือนสนิทกันเลย ทำไมคนเมืองนี้เขาถึงได้ทั่วถึงขนาดนี้นะ
เป็นสถานที่ท่องเที่ยวหนึ่ง ก่อนจะไปเจอน้องๆ อูฐ ระหว่างทางไปดิสกิทมีให้ขี่รถ ATV ด้วย อยากลองเหมือนกันแต่ไม่มีเวลา ทาชิบอกว่ารอบหน้าให้ลองมาดูนะ โอเค จะลองนะ
ที่นี่มาค่าเข้าชมคนละ 30 รูปี ทาชิทักทายพระเหมือนสนิทกันเลย ทำไมคนเมืองนี้เขาถึงได้ทั่วถึงขนาดนี้นะ
เอาจริงๆ เลยนะ ที่ดิสกิทไม่มีอะไรมากหรอก มีแค่นี้แหละ กับแวะชมของที่ระลึกตรงทางเข้านิดหน่อย แต่เราไม่ได้แวะ
จากนี้ก็ตรงยาวไปต่อที่ Hunder เลย อูฐรอเราแล้ว!
Hunder - Camel Safari
มีค่าเข้า Hunder คนละ 15 รูปี พอเข้าเขตซาฟารีให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในซีรีย์เรื่อง Descendants of the Sun ถ้าเปิดเพลงประกอบไปด้วยจะอินมากๆ แล้วไม่รู้จังหวะอะไร เพื่อนก็พกเพลง Talk Love ของลุง K.will มาด้วย แล้วมันก็รันมาพอดี ถึงกับต้องสวัสดีค่ะกัปตันยู
คือที่นี่มันมีความแห้งแล้ง มีความชนบท มีค่ายทหาร มีกองกำลัง มีรถถัง โดยรอบล้อมรั้วลวดหนาม มีทะเลทราย คอซีรีย์จะอินมากเว่อร์เป็นพิเศษ
ทันทีที่มาถึงซาฟารี สิ่งแรกที่วิ่งมาต้อนรับ นั่นก็คือ!
คาดว่าเจ้าถิ่นจะเป็นเจ้าพวกนี้ไม่ใช่อูฐ
กว่าจะได้ไปเจอน้องอูฐ ก็เล่นกับหมาจนเย็น
สำหรับขี่อูฐคนละ 200 รูปี แต่ถ้าถ่ายรูปเฉยๆ 100 รูปี - เราแค่ถ่ายรูป ไม่กล้าขี่ แต่เจ้าของเค้าบอกว่าให้ขี่ โอเค คงแค่นั่งบนหลังมันแหละ งั้นขี่ก็ได้ แต่ใครจะคิดว่าเค้าจะให้มันลุกแล้วเดินด้วย
โอ้โหห เจ็บมาก กลัวตกมาก ขาสั่นมาก อยากจะร้องไห้ นี่ถ้าจ่าย 200 จะได้เดินขนาดไหนอะ ฮ่าา
ปล. เจ้าของเค้าถ่ายรูปให้ด้วยนะ ไม่ขี่เหร่เลย
นั่นเค้ากำลังถ่าย pre-wedding กัน
ส่วนนี่ ตัวกลัวโดนแย่งกินสองพันสิบแปดใช่ไหม
ส่วนตัวแล้วชอบที่นี่มากเลย โดยรอบดีไปหมด มีทะเลทราย มีลำธาร มีภูเขา มีต้นไม้ มีหมา มีอูฐ มีคนใจดี เป็นที่ที่ชอบที่สุดของทริปนี้เลย
Lachung Retreat
ออกจากซาฟารีก็ใกล้จะเย็นแล้ว แล้วก็ไกลมากจนแอบรู้สึกผิดกับทาชิที่ขับรถจนเหนื่อย
ก่อนอื่น อยากจะขอเล่าเรื่องที่พักก่อน ที่พักนี้มีสาขาที่นิวเดลีด้วย ตอนจองในเว็บไซต์ต้องดูให้ดีว่าไม่ผิดสาขา และก่อนจะจองให้อีเมล์มาถามก่อนว่าวันที่เราจะไปเขาเปิดให้บริการหรือเปล่า เพราะช่วงที่เราไปอากาศเริ่มต่ำลงมาก เราจองที่พักหลายที่มากใน booking.com แต่พอใกล้วันก็โดนปฏิเสธกลับมาหมด บอกว่าปิดให้บริการ (วันหลังก็ปิดในเว็บด้วยสิเธอ) ตอนนั้นจะบินแล้วยังไม่ได้ที่นอนเลย จนมาเจอที่นี่ ราคาสูงกว่าที่อื่น แต่เขายังเปิดอยู่ โอเคแหละ มันไม่ได้จ่ายเพิ่มมากอะไร คิดว่าแลกกับวิวที่ได้รับและความสบายใจที่จะมีที่นอนก็เลยตกลงเลือกที่นี่
ทีนี้ มาถึงความปวดหัวเล็กน้อย เวลาจองที่พักที่นี่จะต้องจ่ายเงินทันที ตัดผ่านบัตรเครดิต ไม่ต้องไปโอนเงินระหว่างประเทศให้ยุ่งยากอะไร แต่เราตัดเท่าไหร่ก็ไม่ผ่านซักที มันบอกว่าทำรายการไม่ได้ failed ตลอด เลยอีเมล์ไปบอกเขาว่าทำยังไงเราก็จ่ายเงินไม่ได้ จะขอไปจ่ายที่ที่พัก และเพื่อยืนยันว่าเราไม่เบี้ยวแน่ ยังไงเราก็ไปแน่ เราจะเลือกคุณจริงๆ นะ ก็ส่งรหัสหน้าบัตรเครดิต ชื่อเจ้าของบัตร วันหมดอายุต่างๆ รวมถึงวันที่จะไปพัก เพื่อให้เขาสบายใจ - ดีใจมาก ที่เขาตกลง เขาบอกว่าที่มันตัดบัตรไม่ได้น่าจะเพราะระบบมีปัญหา
ก่อนเดินทางสองวัน เราอีเมล์ไปบอกเขาว่าเราใกล้จะเดินทางแล้วนะ และจะไปหาคุณวันไหน แล้วพบกัน เขาตอบเมล์เร็วมากว่าไม่ลืม จำได้ ยังไงแล้วก็เดี๋ยวเจอกันนะ
บอกตามตรงใจตุ้มต่อมมากกลัวว่าจะไม่มีที่นอน เราปริ้นใบจอง ปริ้นอีเมล์ที่คุยกันไว้เป็นหลักฐานด้วย กลัวเขาลืมขนาดไหน ฮ่า
พอไปถึง เราเข้าไปเพื่อเช็คกับทาชิว่าใช่ที่พักที่เราจองไว้ถูกต้องไหม แต่ยังไม่ทันที่เราหรือทาชิจะได้อ้าปากถาม เขาก็เปิดประตูมาต้อนรับแล้วถามก่อนว่าใช่คุณใช่มั้ย - เป็นความประทับใจแรกที่โคตรดีเลย ดีมากๆ ดีตั้งแต่ได้ติดต่อทางอีเมล์แล้ว
ส่งเราถึงที่ก็นัดแนะเวลากับทาชิ ซึ่งทาชิบอกว่า 6 โมงเช้า ก็เลยไม่ได้เกี่ยงอะไรเพราะเชื่อว่าทาชิคำนวณเวลามาดีแล้ว ทาชิยังย้ำกับคนที่นี่ด้วยว่าเราจะออกตอนนั้น แล้วทาชิก็หายไป
คนที่เข้ามาต้อนรับแนะนำตัวว่าเป็นคนที่ติดต่อกับเรามาตลอด ชื่อ Shabir Ahmad เป็น Assistant Manager ของที่นี่ ใจดีมาก มีชาดำเป็น welcome drink ระหว่างกำลังดื่มชา เขาบอกว่าที่นี่จะปิดให้บริการในวันที่ 25 เพราะอากาศเย็นลงมากแล้ว หลังจากนั้นพวกเขาจะย้ายไปอยู่ที่อื่นก่อน เพราะมันหนาวจนอยู่ไม่ไหว ก็เลยได้โอกาสถามว่านอกจากเรามีคนอื่นอีกไหม อุ่นใจที่เขาบอกว่ามีแขกอีก 2-3 คนที่มาพักอยู่
เราเลือกจองแบบ full-plan นั่นก็คือมีอาหารให้ครบทุกมื้อ มีบ้านหลังเล็กๆ ของเรา ภายในห้องพัก มีให้ทุกอย่าง ที่สำคัญคือเตียงมีฮีทเตอร์ด้วย!!!!!
ห้องน้ำมีอุปกรณ์ให้ครบ เขาบอกว่าก่อนนอนให้เปิดน้ำตรงอ่างล้างหน้าไว้เบาๆ ตอนเช้ามันจะได้อุ่นๆ เพราะอากาศหนาวมาก เดี๋ยวมันจะอุ่นไม่ทัน แต่มันก็เหมือนกับที่โฮสเทลเลยแหละ คือไม่ว่าจะเปิดไว้นานเท่าไหร่มันก็ไม่อุ่น มันไม่มีทางอุ่นได้เพราะมันหนาวมาก
มีบ้านหลังเล็กๆ อื่นๆ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากกัน แต่บ้านเราไกลสุด บรรยากาศด้านนอกมองออกไปจะเห็นต้นไม้ เห็นภูเขาใหญ่ที่ด้านบนปกคลุมด้วยหิมะ ตอนกลางคืนจะสวยมาก ท้องฟ้าด้านนอกเต็มไปด้วยดาวระยิบระยับเต็มฟ้า สวยแบบหยุดหายใจได้เลย ถูกใจมาก ดีกว่าที่คิดไว้มากๆ
มื้อเย็นเริ่มตอนหนึ่งทุ่ม เราไปที่ส่วนกลางก่อน เพราะถ้าอยากได้วายฟายต้องไปที่นั่น แต่มันเล่นไม่ได้ ไม่มีสัญญาณเลยซักนิด ถึงว่าสิ ทำไมตอนจ่ายเงินมันจ่ายไม่ได้ ก็เลยนั่งเล่นรอมื้อเย็น เห็นมีสองคนนั่งกินข้าวอยู่ก่อน พอเราไปนั่งก็มีคนเข้ามาถามว่ารับซุปมั้ย เขาถามแลมๆๆ อะไร ฟังไม่ออก โคมไฟปะวะ เพื่อนก็นึกว่าโคมไฟ หรือสัตว์ชนิดไหน คือฟังยากมากจริงๆ เลยเออออตกลงไป
และมันก็คือซุปเลม่อนอะ ฮา แลมอิหยังวะ
อร่อยมาก มันมีแครอทบด มีหัวหอม เปรี้ยวๆ ดี ชอบมาก พอกินซุปเสร็จก็งงว่ามีแค่นี้หรอ เลยหันหลังไปเห็นพนักงานยืนคอยสังเกตการณ์อยู่ จนเพื่อนเรากินเสร็จเขาก็เข้ามาเก็บไป ไม่พูดอะไรซักคำแล้วก็เอาข้าวมาเสิร์ฟ
โอ้แม่เจ้า! เป็นอาหารเดียวที่ถ่ายรูปไว้ได้นี่แหละ นอกนั้นขี้เกียจถ่ายแล้ว จะกิน
ข้าวเหลืองๆ เหมือนข้าวที่กินกับข้าวหมกไก่เลย ส่วนไก่ในจานคือสเต๊ก เขาบอกให้บีบมะนาวทั่วๆ ก่อนแล้วจะอร่อย เออ อร่อยมากๆ อร่อยจนลืมอาหารอินเดียทุกชนิดที่เคยกินมา คือมันไม่รสชาติอินเดียเลย
กินข้าวเสร็จก็เอาของหวานมาเสิร์ฟ เป็นไอศกรีมหรืออะไรสักอย่างที่หน้าตาคล้ายๆ สำลี - สำลีชุบน้ำนั่นแหละ หวานมาก แต่อร่อยดี ดีไปหมดเลย ประทับใจ
มื้อค่ำมีทั้งหมด 3 อย่างตามนี้ เขาคอยสังเกตว่าเรากินหมดหรือยังแล้วมาเสิร์ฟของต่อจากนั้น คอยถามว่าอร่อยไหม กินได้หรือเปล่า เอาใจใส่มากๆ
พระจันทร์เบี้ยวๆ กับธงมนต์ที่มีอยู่ทุกหนแห่งในเลห์-ลาดักห์ อยากให้ทุกคนได้เห็นว่าดาวบนฟ้าสวยมากแค่ไหน แต่น่าเสียใจที่ถ่ายดาวไม่เป็น เลยได้แต่เก็บมันไว้เป็นความทรงจำในสายตา
คืนนี้ต้องรีบนอน เพราะต้องตื่นเช้ามาก ก่อนนอนก็เลยใส่ชุดของวันพรุ่งนี้ไว้พร้อม - และตอนกำลังจะออกจากห้องตอนใกล้หกโมงเช้า Ahmad ก็โทรมาปลุกว่าตื่นหรือยัง ได้เวลาแล้ว มีการปลุกด้วย ทำไมถึงได้ดีแบบนี้
พอออกไป ก็จ่ายเงิน (เราสังเกตได้ว่าที่อินเดียจะให้พักก่อนค่อยจ่ายเงิน มันพาลใจตุ้มต่อมได้เหมือนกันว่าจะเก็บอะไรเพิ่มปะว้าา) ราคาเท่ากับตอนที่จองมา แต่เขาต้องทอนเรา 20 รูปี เขาบอกว่าเขาไม่มีเศษเงินทอน เราเลยไม่เป็นไรแล้วกัน เพราะประทับใจมาก เขาเตรียมแซนด์วิสใส่กล่องรอไว้ให้เรา 4 กล่องด้วย และถึงมันจะหกโมงกว่าแล้วเขาก็ยังชวนเราไปดื่มชาดำก่อนเดินทาง ไม่พอ ยังไปชวนทาชิมาด้วยอีกต่างหาก
คนที่นี่มีน้ำใจมากๆ เลย น่ารักมาก
22.10.18
Pangong Tso - Leh
อากาศข้างนอกหนาวมาก หนาวจะขาดใจ คงเพราะตอนนี้มันเช้ามากอยู่ด้วย เราออกจากที่พักในตอนหกโมงกว่า เห็นหิมะละลายตลอดทาง เชื่อแล้วว่าหิมะละลายหนาวกว่าหิมะตกอีก
ข้างทางยังสวยเหมือนเดิม แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าหลับไปตอนไหน ตื่นมาอีกทีประมาณเก้าโมงเช้า ตรงร้านข้าว ทาชิต้องไปยื่น permit เข้าเขต Pangong ให้ เลยบอกให้เราแวะกินข้าวตรงนี้ เออ กินก็ได้ เพราะก็เริ่มหิวแล้ว อันที่จริง รู้สึกเหนื่อยมาก คงเพราะสะสมมาจากวันก่อนๆ ก่อนเดินทางก็ทำงานเหมือนคนบ้า เพื่อนเราก็มีอาการเจ็บหน้าอกตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่ก็ไม่ได้มาก แค่ไม่สบายตัว ก็เลยหลับกันไป
เราสั่งไข่เจียวคนละจาน กับก๋วยเตี๋ยวผักแบบเมื่อวาน และเลม่อนที รสชาติอร่อยมาก ไข่เจียวก็เหมือนไข่ที่แม่ทำให้เลย ปริมาณเยอะมากด้วย รวมราคาแล้ว 260 รูปี
ระหว่างกินข้าว เจอฝรั่งลากกระเป๋ามาโบกรถด้วย ประหลาดใจมากเพราะมันไม่น่าใช่ที่จะมาโบกรถกันแบบนี้ เท่าที่เห็นไม่ว่าจะคนชาติไหนเขาก็ใช้บริการทัวร์มาพาทั้งนั้น เรามองอยู่นาน จนเรากินข้าวเสร็จเขาก็ยังยืนโบกรถอยู่ ซึ่งไม่มีคันไหนแวะรับไปด้วยเลย - ไม่แนะนำการทำแบบนี้ที่นี่เลย เพราะการยืนโบกรถนอกเมืองแบบนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีคนมารับหรือเปล่า จะได้ไปเมื่อไหร่
จริงๆ แล้วตลอดทางเราเจอชาวบ้านโบกรถเยอะมาก แม้กระทั่งบนไหล่เขา บนเขาก็ยังมีคนโบก ไม่รู้ว่าเขาเดินมาจากตรงไหนแต่คงเดินมาไกลมาก และคงต้องเดินต่อไปอีกไกลมากกว่าจะลงจากเขาได้ วิธีแบบนี้มันอาจจะเป็นปกติของคนที่นี่ แต่ทาชิก็ไม่ได้ถามว่าอยากจะแวะรับไหม ซึ่งถ้าถามเราก็คงปฏิเสธ ไม่กล้าจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นการที่มาเดินคนเดียวหรือจูงลูกหลานบนถนนทุรกันดารแบบนั้นมันอันตรายมากเกินไป
ได้กินข้าวแล้วก็มีแรงขึ้นมากดื้อๆ เลย แต่เพื่อนก็ยังเจ็บหน้าอกอยู่ เราก็มีอาการหายใจไม่ออกเป็นพักๆ เดาว่าคงเพราะอยู่บนที่สูงและตื่นเช้าเกินไปนั่นแหละ แต่มันก็ไม่ได้ทรมานเหมือนบางคน
วันนี้มีเรื่องเล่ากับทาชิเยอะขึ้น - มีสัตว์อะไรสักอย่างนึกชื่อไม่ออก ที่จะเจอได้ที่นี่ใกล้ๆ หลุมของมัน แต่ทาชิบอกว่าช่วงนี้หาเจอยาก มันจำศีล เดี๋ยวถ้าเจอแล้วจะบอก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เจอ
ทาชิแนะนำว่าถ้ามีโอกาสได้มาอีกให้มาสิบวันเลยนะ ที่นี่ควรจะเที่ยวแปดวันเป็นอย่างต่ำ และให้ดีที่สุดคือสิบวัน เพราะจะได้ทำอะไรหลายอย่าง แพลนของเราไม่ได้แน่น แต่มันไม่ได้ทำกิจกรรมอะไรมากเท่าไหร่ และฤดูที่ควรมาเที่ยวคือเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม อากาศจะกำลังดี ประมาณยี่สิบกลางๆ นอกนั้นหนาวมาก บางที่ปิดให้บริการ ช่วงที่เรามามันโลว์ซีซั่นแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็คนไทยเยอะมาก เพราะมันเป็นช่วงวันหยุด
ทาชิบอกว่าคนไทยเยอะจริงๆ เลยนะ
เออ แน่แหละ เหมือนเดินอยู่เชียงใหม่หรือจังหวัดแถบทางเหนือเลย ยิ่งช่วงนี้คือช่วงวันหยุดยาวคนไทยยิ่งเยอะเข้าไปใหญ่ รองจากนั้นคือคนอินเดีย
ข้างทางยังสวยเหมือนเดิม แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าหลับไปตอนไหน ตื่นมาอีกทีประมาณเก้าโมงเช้า ตรงร้านข้าว ทาชิต้องไปยื่น permit เข้าเขต Pangong ให้ เลยบอกให้เราแวะกินข้าวตรงนี้ เออ กินก็ได้ เพราะก็เริ่มหิวแล้ว อันที่จริง รู้สึกเหนื่อยมาก คงเพราะสะสมมาจากวันก่อนๆ ก่อนเดินทางก็ทำงานเหมือนคนบ้า เพื่อนเราก็มีอาการเจ็บหน้าอกตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่ก็ไม่ได้มาก แค่ไม่สบายตัว ก็เลยหลับกันไป
เราสั่งไข่เจียวคนละจาน กับก๋วยเตี๋ยวผักแบบเมื่อวาน และเลม่อนที รสชาติอร่อยมาก ไข่เจียวก็เหมือนไข่ที่แม่ทำให้เลย ปริมาณเยอะมากด้วย รวมราคาแล้ว 260 รูปี
ระหว่างกินข้าว เจอฝรั่งลากกระเป๋ามาโบกรถด้วย ประหลาดใจมากเพราะมันไม่น่าใช่ที่จะมาโบกรถกันแบบนี้ เท่าที่เห็นไม่ว่าจะคนชาติไหนเขาก็ใช้บริการทัวร์มาพาทั้งนั้น เรามองอยู่นาน จนเรากินข้าวเสร็จเขาก็ยังยืนโบกรถอยู่ ซึ่งไม่มีคันไหนแวะรับไปด้วยเลย - ไม่แนะนำการทำแบบนี้ที่นี่เลย เพราะการยืนโบกรถนอกเมืองแบบนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีคนมารับหรือเปล่า จะได้ไปเมื่อไหร่
จริงๆ แล้วตลอดทางเราเจอชาวบ้านโบกรถเยอะมาก แม้กระทั่งบนไหล่เขา บนเขาก็ยังมีคนโบก ไม่รู้ว่าเขาเดินมาจากตรงไหนแต่คงเดินมาไกลมาก และคงต้องเดินต่อไปอีกไกลมากกว่าจะลงจากเขาได้ วิธีแบบนี้มันอาจจะเป็นปกติของคนที่นี่ แต่ทาชิก็ไม่ได้ถามว่าอยากจะแวะรับไหม ซึ่งถ้าถามเราก็คงปฏิเสธ ไม่กล้าจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นการที่มาเดินคนเดียวหรือจูงลูกหลานบนถนนทุรกันดารแบบนั้นมันอันตรายมากเกินไป
ได้กินข้าวแล้วก็มีแรงขึ้นมากดื้อๆ เลย แต่เพื่อนก็ยังเจ็บหน้าอกอยู่ เราก็มีอาการหายใจไม่ออกเป็นพักๆ เดาว่าคงเพราะอยู่บนที่สูงและตื่นเช้าเกินไปนั่นแหละ แต่มันก็ไม่ได้ทรมานเหมือนบางคน
วันนี้มีเรื่องเล่ากับทาชิเยอะขึ้น - มีสัตว์อะไรสักอย่างนึกชื่อไม่ออก ที่จะเจอได้ที่นี่ใกล้ๆ หลุมของมัน แต่ทาชิบอกว่าช่วงนี้หาเจอยาก มันจำศีล เดี๋ยวถ้าเจอแล้วจะบอก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เจอ
ทาชิแนะนำว่าถ้ามีโอกาสได้มาอีกให้มาสิบวันเลยนะ ที่นี่ควรจะเที่ยวแปดวันเป็นอย่างต่ำ และให้ดีที่สุดคือสิบวัน เพราะจะได้ทำอะไรหลายอย่าง แพลนของเราไม่ได้แน่น แต่มันไม่ได้ทำกิจกรรมอะไรมากเท่าไหร่ และฤดูที่ควรมาเที่ยวคือเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม อากาศจะกำลังดี ประมาณยี่สิบกลางๆ นอกนั้นหนาวมาก บางที่ปิดให้บริการ ช่วงที่เรามามันโลว์ซีซั่นแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็คนไทยเยอะมาก เพราะมันเป็นช่วงวันหยุด
ทาชิบอกว่าคนไทยเยอะจริงๆ เลยนะ
เออ แน่แหละ เหมือนเดินอยู่เชียงใหม่หรือจังหวัดแถบทางเหนือเลย ยิ่งช่วงนี้คือช่วงวันหยุดยาวคนไทยยิ่งเยอะเข้าไปใหญ่ รองจากนั้นคือคนอินเดีย
ข้างทางยังสวยเหมือนเดิม ไม่มีตรงไหนไม่สวยเลย มีหมู่บ้านตั้งอยู่บางพื้นที่ มีล้อมพื้นที่ปลูกต้นไม้ มีการเลี้ยงสัตว์ ตั้งแต่หมายันสัตว์หายาก มีลำธารตัดผ่านแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ ทุกอย่างที่เห็นในสายตาถูกโอบล้อมด้วยภูเขาที่เป็นภูเขาจริงๆ มันใหญ่มาก ทั้งสิ่งที่อยู่ตรงหน้า และความรู้สึกของเรา
มองไปแล้วก็นึกบางอย่างได้ว่า ธรรมชาติมันยิ่งใหญ่มาก มากเกินกว่าเราตัวเล็กๆ จะประเมินได้ว่ามันยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าคือคนที่นี่ที่พยายามอนุรักษ์มันไว้อย่างดี ดูแลมันอย่างดี แม้ว่าบางแห่งจะมีการปลูกสร้างแต่ก็คงทำไปด้วยความจำเป็นและเพื่อประโยชน์ของคนในเมือง แม้ว่าจะมีรีสอร์ทเกิดขึ้นเยอะแยะ แต่ทุกแห่งจะขาดต้นไม้ไม่ได้เลย
อีกอย่างคนที่นี่ก็เก่งมาก อากาศหนาวขนาดนี้เขายังทำงานก่อสร้างกันไหว พื้นที่สูงและกันดารขนาดนี้เขายังพาไฟฟ้า พาสัญญาณโทรศัพท์ สัญญาณอินเตอร์เน็ตเข้ามาได้ ถนนหนทางดีกว่าประเทศเรามาก ในเรื่องความเป็นอยู่เราคงบอกไม่ได้ แต่ไม่กี่วันที่สัมผัสเรารู้สึกว่าสิ่งพื้นฐานที่คนในประเทศควรได้รับพวกเขาอาจจะไม่ได้ขาดมากเท่าไหร่เลย
เพื่อนบอกให้ทาชิแวะตรงนี้ เพราะอยากถ่ายรูป เลยได้เปิดประสบการณ์ผ่อนเบาในดงหญ้าครั้งแรก ต้องคอยหลบกลัวคนมาเห็นด้วย ฮา
ส่วนตัวเราแล้วไม่ได้มีประสบการณ์ของห้องน้ำหลุมๆ ของที่นี่ เหมือนระบบร่างกายจะรู้ว่าอย่าปวดอะไรบ่อย เจอห้องน้ำดีๆ ค่อยปวด แต่ทุกห้องระหว่างทางที่เข้ามาก็ไม่ได้เจอที่ไม่ดีนะ ให้เข้าตามร้านอาหาร หรือถ้าไม่อยากเจอหลุมไม่ดีก็แวะข้างทางแบบนี้ หาดงหญ้าเยอะๆ ฉี่เลย
Pangong Tso
ทางไปทะเลสาบไกลมากเช่นเคย และเมื่อไปถึงก็ให้ความรู้สึกกัปตันยูอีกแล้ว ทหารเยอะมากกกกกกกกก เหมือนเป็นค่ายฝึกทหารเลย แบบกองกำลังพิเศษอะไรแบบนั้น เราเคยอ่านเจอว่าในฤดูหนาวทหารอินเดียจะมาฝึกกันที่นี่ ไม่รู้จริงหรือเปล่า แต่แน่นอนว่ามีทหารจากปากีสถานด้วย
แปงกองเป็นทะเลสาบในฝันที่เราอยากมามากๆ ถึงจะชอบฮันเดอร์แค่ไหนแต่แปงกองนั้นคือที่สุด ที่นี่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 4,250 เมตร เป็นพื้นที่ที่ควรเฝ้าระวังความสูงอีกที่หนึ่งเลย
พอได้มาเห็นจริงๆ แล้วก็นึกถึงคำพูดที่ว่า 'ได้มาที่นี่แล้ว ก็ตายตาหลับแล้วล่ะ' มันเป็นแบบนั้นจริงๆ มันสวย สวยแบบโคตรๆ ยิ่งเมื่อไหร่ที่น้ำในทะเลสาบกลายเป็น้ำแข็งก็คงสวยมากด้วย เคยอยากมานอนริมทะเลสาบสักครั้ง พยายามหลายหนแต่ด้วยอะไรหลายอย่างเลยพลาดไป แต่พอได้มาแล้วก็ไม่ได้เสียใจที่ไม่ได้นอนที่นี่หรอก เพราะหนาวเกินไป และไกลมากด้วย
ตรงกลางสายตานั่น ทาชิบอกว่าเป็นฝั่งของประเทศจีน
ที่นี่หนาวมาก อาการเจ็บหน้าอกของเพื่อนก็เริ่มมากขึ้น มีเราที่ไม่ได้เป็นอะไร ยังคึกอยู่ สงสารเพื่อนเหมือนกันแต่จุดนั้นคือดูแลตัวเองก่อนนะเพื่อน เดี๋ยวถ่ายรูปเสร็จแล้วค่อยว่ากัน
ที่นี่คนอินเดียเยอะมาก คนไทยเยอะมาก ได้ยินเสียงสองชาติอยู่ในหู ตีกันไปหมดเลย เห็นคนไทยสูงอายุมาเที่ยวกันก็มากด้วย
อ่อ เห็นว่าที่คนอินเดียชอบมาที่นี่ นอกจากจะมาพักผ่อนแล้วบางคนก็เหมือนมาตามรอยหนังเรื่อง 3 idiots ที่มาถ่ายทำที่นี่เหมือนกัน ซึ่งถ้าใครได้ดูหนังมาก็คงจะอิน เพราะขนาดเราไม่ได้ดูก็ยังอินมากกับความสวยนี้
เราใช้เวลาที่แปงกองค่อนข้างนาน ให้เพื่อนได้พักเหนื่อยด้วย เพราะดูมันเหนื่อยมาก แล้วก็ไม่มีแพลนที่ไหนอีกนอกจากกลับเลห์เลย - ความตื่นเต้นตอนออกจากที่นี่ก็คือทหารหลายคันรถกำลังขนของลงจากรถ กัปตันยูมากๆ เหมือนมารวมตัวฝึกกันเลย มีหน่วยพยาบาล หน่วยเสบียง
พอออกจากแปงกองได้ไม่กี่นาทีก็หลับไปเลย รู้ตัวอีกทีทาชิก็ปลุกบอกว่าให้ลงไปถ่ายรูป สลึมสะลือมากแต่ก็ลงไปถ่าย ถ่ายได้ไม่เท่าไหร่ต้องรีบขึ้นรถเพราะหนาวมาก แล้วก็ได้เวลาขับรถไต่เขากันอีกแล้ว
Changla Pass
เป็นเส้นทางที่เราจะผ่านกลับเข้าเมืองกัน ที่นี่สูงจากระดับน้ำทะเล 5,360 เมตร เพื่อนเราที่ยังไม่ดีขึ้นกลับแย่กว่าเดิมด้วยมั้ง และที่นี่ก็หนาวมากเลยไม่ได้แวะนาน
เราบอกทาชิว่าอยากได้ธงมนต์บ้าง อยากให้ช่วยแวะตลาดให้หน่อย ตอนแรกก็นึกว่าจะแวะ Main bazaar แต่เปล่าเลย แวะร้านของฝาก ที่มีอะไรขายเยอะมาก มีธงขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ ราคาไม่แพง ทาชิบอกว่าธงมนต์นี้มันแปลว่าโชคดีนะ
นี่คือวิวที่เราถ่ายได้ก่อนจะถึงตลาดของฝาก มันสวยมาก น้ำสีเขียว น้ำใส ต้นไม้ขึ้นตลอดทาง สวยเหมือนไปยุโรปเลย บอกทาชิว่าเหมือนยุโรปหรือแถบสแกนดิเนเวียมากๆ ทาชิก็หัวเราะ แล้วจอดให้ถ่ายรูป
ก่อนมาถึงตรงนี้ก็ได้ผ่านที่อยู่ขององค์ดาไลลามะด้วย ทาชิบอกว่าท่านเคยอยู่ที่นี่มาก่อน
Hostelavie Leh
นั่นคือรูปสุดท้ายที่เราถ่ายไว้ ก่อนจะชัตดาวน์ตัวเองที่โฮสเทล เก็บของลงกระเป๋าให้เรียบร้อย ติดต่อคนที่บ้าน ติดต่อเพื่อนบอกว่ายังสบายดี พรุ่งนี้ทาชิจะมารับตอนตีห้าครึ่ง ก่อนนอนเลยต้องทำทุกอย่างให้เรียบร้อย
แต่! ใครจะคิดว่าความทรมานมันจะเกิดขึ้นในคืนสุดท้าย เพื่อนที่ยังเจ็บหน้าอกก็ยังเจ็บอยู่ เราที่ปกติกลับเป็นตามมันไปด้วย นอนไปได้ซักพักก็กระสับกระส่าย หายใจไม่ออก อึดอัด แน่นหน้าอก เปิดกูเกิลถามว่าอาการแบบนี้เป็นอะไรได้บ้าง เออ เราคงอาหารไม่ย่อยอะเพราะกินมาม่าไปตั้งสองกระป๋อง ก็เลยลุกมากินกาวิสคอน เสื้อผ้าที่ใส่ให้ความอบอุ่นก็ถอดเหลือไม่กี่ชิ้นเพราะอึดอัดจนร้อน นอนไม่หลับเลย ไม่ได้คิดถึง AMS เลยด้วยซ้ำ
เราหยุด diamox ตามหมอสั่ง หมอบอกว่าให้กินครึ่งเม็ดแรกที่สุวรรณภูมินะแล้วพอกลับเลห์ก็หยุดเลย วันนี้เราเลยกินแค่ตอนเช้า ตอนเย็นไม่ได้กิน ไม่ได้เอะใจว่าตัวเองจะแพ้ที่สูงเพราะปกติมาตลอดตั้งแต่วันแรก แล้วก็ไม่ได้ประมาทใช้ชีวิตด้วย หรือจริงๆ เราเข้าใจผิด เราต้องหยุดเย็นของวันที่มาถึงหรือเปล่านะ ฮือๆ
ทรมานมาตลอดคืน ยุกยิกๆ จนตอนเช้าเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนบอกเออ กูรู้ มึงขยับทั้งคืน ฮา เลยตัดสินใจว่าถ้าถึงไทยแล้วยังไม่หายจะไปหาหมอแล้วนะ แต่มันกลับดีขึ้นตอนอยู่นิวเดลี พอถึงไทยเลยมานั่งคิดกันว่าเออ คงแพ้ที่สูงอะ เพราะอาการมันใช่เลย ตอนถึงไทยก็ปกติดีมากๆ ด้วย ไม่เจ็บหน้าอก หายใจปกติดีแล้ว เพราะแบบนี้ก็เลยแนะนำให้ทุกคนได้หาหมอปรึกษาหมอก่อนการเดินทางนะคะ และอีกอย่างถ้าใครมีอาการแพ้ที่สูง บอกที่พักให้พาเราไปโรงพยาบาลได้เลย อย่าปล่อยให้มันทรมานนานเกินไป มันต้องรีบรักษานะ
23.10.18
IXL to DEL
ทาชิมารอตรงเวลามาก ตอนตีห้าครึ่งพอดี ไม่ทันได้ลาคนที่โฮสเทลด้วย เราจ่ายเงินค่าทัวร์ให้ทาชิที่สนามบิน และให้พิเศษเพิ่มกับเพื่อนหนึ่งพันรูปี แยกซองไว้ว่านี่ค่าทัวร์ นี่ค่าทิป เพราะไม่รู้ว่าทาชิต้องแบ่งส่วนไหนกับลัคกี้หรือเปล่า
อย่าลืมเตรียม e-ticket ให้พร้อมเพื่อยื่นกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้าไปในสนามบิน จะโชว์รูปจากมือถือก็ได้ แต่เป็นกระดาษก็สะดวกดี เรียบร้อยแล้วก็ไปสแกนกระเป๋าด่านแรก ทั้งที่จะโหลดและที่จะเอาติดตัวไป - แล้วก็ตรวจพาสปอร์ต พอเห็นเราถือพาสปอร์ตไทยก็สวัสดีครับพร้อมยิ้มกว้าง - แล้วก็ไปเช็คอิน กระเป๋าทุกใบที่ถือขึ้นเครื่องต้องห้อยแท็กด้วย ห้ามไม่ห้อยเด็ดขาด
และแล้วก็เปิดประสบการณ์ไฟดับในสนามบินครั้งแรก!!
ตกใจมาก นั่งอยู่ก็ไฟดับและทันทีเลยคือเจ้าหน้าที่ทุกคนเปิดไฟฉาย เพราะไฟดับเป็นเรื่องปกติของที่นี่ แต่เราก็ไม่คิดว่ามันจะมาดับในสนามบินได้อะ แต่มันก็แป๊บเดียวเท่านั้น พอไฟมาก็เจอทหารกำลังเปิดตู้หยิบปืนออกมา ไม่ได้ดูน่ากลัวอะไร พวกเขายิ้มแย้มกันแม้มือจะถือปืน แล้วทุกอย่างก็เข้าสู่สถานการณ์ปกติ
ดีนะที่เช็คอินแล้ว
ก่อนออกจากที่นี่จะต้องเขียนใบขาออก แล้วไปสแกนร่างกายอีกครั้ง ก่อนจะจบสิ้นไปนั่งรอขึ้นเครื่องได้เลย - พอได้เวลาขึ้นเครื่องจะวุ่นวายอีกครั้ง เพราะจะตรวจกระเป๋าและสแกนร่างกายก่อนขึ้นเครื่องด้วย แต่มันก็ผ่านไปด้วยดี
ได้เวลากลับบ้านจริงๆ แล้ว
ลาก่อน สวรรค์บนดินที่แท้จริง
อย่าลืมเตรียม e-ticket ให้พร้อมเพื่อยื่นกับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้าไปในสนามบิน จะโชว์รูปจากมือถือก็ได้ แต่เป็นกระดาษก็สะดวกดี เรียบร้อยแล้วก็ไปสแกนกระเป๋าด่านแรก ทั้งที่จะโหลดและที่จะเอาติดตัวไป - แล้วก็ตรวจพาสปอร์ต พอเห็นเราถือพาสปอร์ตไทยก็สวัสดีครับพร้อมยิ้มกว้าง - แล้วก็ไปเช็คอิน กระเป๋าทุกใบที่ถือขึ้นเครื่องต้องห้อยแท็กด้วย ห้ามไม่ห้อยเด็ดขาด
และแล้วก็เปิดประสบการณ์ไฟดับในสนามบินครั้งแรก!!
ตกใจมาก นั่งอยู่ก็ไฟดับและทันทีเลยคือเจ้าหน้าที่ทุกคนเปิดไฟฉาย เพราะไฟดับเป็นเรื่องปกติของที่นี่ แต่เราก็ไม่คิดว่ามันจะมาดับในสนามบินได้อะ แต่มันก็แป๊บเดียวเท่านั้น พอไฟมาก็เจอทหารกำลังเปิดตู้หยิบปืนออกมา ไม่ได้ดูน่ากลัวอะไร พวกเขายิ้มแย้มกันแม้มือจะถือปืน แล้วทุกอย่างก็เข้าสู่สถานการณ์ปกติ
ดีนะที่เช็คอินแล้ว
ก่อนออกจากที่นี่จะต้องเขียนใบขาออก แล้วไปสแกนร่างกายอีกครั้ง ก่อนจะจบสิ้นไปนั่งรอขึ้นเครื่องได้เลย - พอได้เวลาขึ้นเครื่องจะวุ่นวายอีกครั้ง เพราะจะตรวจกระเป๋าและสแกนร่างกายก่อนขึ้นเครื่องด้วย แต่มันก็ผ่านไปด้วยดี
ได้เวลากลับบ้านจริงๆ แล้ว
ลาก่อน สวรรค์บนดินที่แท้จริง
สำหรับทริปนี้. ดีไปหมดทุกอย่าง ประทับใจทุกอย่าง ทุกเรื่อง ทุกคน คนที่นี่ใจดีมากๆ มีน้ำใจและน่ารักมากๆ ที่เราเห็นทาชิทักเพื่อนในเมืองหรือนอกเมือง ก็คิดว่าเขารู้จักกัน แต่เพื่อนบอกว่าไม่น่าจะรู้จักหมดขนาดนั้นหรอก เพราะขนาดเด็กขี้จักรยานริมถนนที่นูบราก็ยังบีบแตรทัก พระที่เดินอยู่ก็ทัก ทหารที่ขับรถผ่านไปก็บีบแตรทัก อากาศก็ดีแม้ว่าจะหนาวจับใจ
เรามีโอกาสได้คุยกับลัคกี้ทางโทรศัพท์ของทาชิด้วย เขาถามไถ่ว่าเป็นยังไงบ้าง ลัคกี้พูดไทยชัดมาก! เหมือนคนไทย พอเราพูดภาษาอังกฤษเขาตอบไทย จนเราต้องพูดไทยไปด้วย น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้เจอกัน แต่ถ้ามีโอกาสได้ไปเยือนอีกเราจะไม่ลืมลัคกี้กับทาชิเลย
ทุกอย่างดีไปหมดจริงๆ และอยากให้ทุกคนได้มาเห็นกับตาว่าธรรมชาติมันยิ่งใหญ่แค่ไหน ซึ่งหลังจากที่เรากลับมาแล้ว เราก็นึกถึงสิ่งที่หลายคนเคยบอกไว้ว่า 'ถ้าได้มาที่นี่ก็พอแล้ว ไม่อยากไปไหนแล้ว' เพิ่งได้รู้สึกกับตัวเองก็ตอนนี้ ถึงจะไม่ใช่ว่าไม่อยากไปไหนแล้ว แต่ความอยาก อาการดิ้นรนจะไปเที่ยวทุกวี่ทุกวันก็ไม่ได้เกิดขึ้นอีก
เราเคยเกลียดอินเดีย เพราะไม่สนุกและทุกข์มากๆ จากทริปชัยปุระ แต่วันนี้เรากลับชอบอินเดียมากขึ้นกว่าเดิม ที่เคยมีคนบอกไว้ว่า 'อินเดียนี่ถ้าไม่เกลียดก็รักเลย' มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ จากที่คิดว่าจะไม่กลับมาอีกแล้ว จากนี้ก็อยากจะกลับมาเยือนอีกในเมืองที่ต่างออกไปเหมือนกัน
ที่นี่สวยจริงๆ ดีมากจริงๆ อยากให้รีบมาก่อนที่วันหนึ่งเราจะไม่มีโอกาสได้มา มากับคนที่จะทำให้คุณมีความสุขและสนุกไปกับมัน - ไม่ใช่แค่เลห์ลาดักห์ แต่หมายถึงทุกๆ ที่บนโลกใบนี้ด้วยเหมือนกัน
เรามีโอกาสได้คุยกับลัคกี้ทางโทรศัพท์ของทาชิด้วย เขาถามไถ่ว่าเป็นยังไงบ้าง ลัคกี้พูดไทยชัดมาก! เหมือนคนไทย พอเราพูดภาษาอังกฤษเขาตอบไทย จนเราต้องพูดไทยไปด้วย น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้เจอกัน แต่ถ้ามีโอกาสได้ไปเยือนอีกเราจะไม่ลืมลัคกี้กับทาชิเลย
ทุกอย่างดีไปหมดจริงๆ และอยากให้ทุกคนได้มาเห็นกับตาว่าธรรมชาติมันยิ่งใหญ่แค่ไหน ซึ่งหลังจากที่เรากลับมาแล้ว เราก็นึกถึงสิ่งที่หลายคนเคยบอกไว้ว่า 'ถ้าได้มาที่นี่ก็พอแล้ว ไม่อยากไปไหนแล้ว' เพิ่งได้รู้สึกกับตัวเองก็ตอนนี้ ถึงจะไม่ใช่ว่าไม่อยากไปไหนแล้ว แต่ความอยาก อาการดิ้นรนจะไปเที่ยวทุกวี่ทุกวันก็ไม่ได้เกิดขึ้นอีก
เราเคยเกลียดอินเดีย เพราะไม่สนุกและทุกข์มากๆ จากทริปชัยปุระ แต่วันนี้เรากลับชอบอินเดียมากขึ้นกว่าเดิม ที่เคยมีคนบอกไว้ว่า 'อินเดียนี่ถ้าไม่เกลียดก็รักเลย' มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ จากที่คิดว่าจะไม่กลับมาอีกแล้ว จากนี้ก็อยากจะกลับมาเยือนอีกในเมืองที่ต่างออกไปเหมือนกัน
ที่นี่สวยจริงๆ ดีมากจริงๆ อยากให้รีบมาก่อนที่วันหนึ่งเราจะไม่มีโอกาสได้มา มากับคนที่จะทำให้คุณมีความสุขและสนุกไปกับมัน - ไม่ใช่แค่เลห์ลาดักห์ แต่หมายถึงทุกๆ ที่บนโลกใบนี้ด้วยเหมือนกัน